info@tangopilgrim.com | +66 954789624
ดนตรีแจ๊ส

ดนตรีจ๊ส เป็นหนี่งในประเภทดนตรีสากลที่ได้รับความนิยมอยู่เสมอ  ผู้ฟังบางกลุ่มก็บอกว่าเป็นดนตรีที่ฟังสบาย ๆ ชิว ๆ เหมือนอยู่ทะเล บรรยากาศโรแมนติก แต่ในทางตรงข้ามผู้ฟังบางกลุ่มอาจจะบอกว่าดนตรีอะไรก็ไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่อง ฟังแล้วปวดหัว บางคนอาจจะกล่าวว่าเป็นดนตรีที่มีความอิสระในการบรรเลง นักดนตรีจะสามารถบรรเลงโดยการใช้อารมณ์และความรู้สึกของตนเอง แต่บางคนอาจจะกล่าวว่าการบรรเลงดนตรีแจ๊สนั้นยากมาก ดนตรีอะไรก็ไม่รู้ทำไมมีคอร์ด (Chord) ประหลาดเยอะแยะไปหมด ในวันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับดนตรีแจ๊สให้มากขึ้น 

มาทำความรู้จักกับดนตรีแจ๊สกันเถอะ 

แจ๊ส หรือ แจซ (Jazz) เป็นลักษณะดนตรีชนิดหนึ่งที่พัฒนามาจากกลุ่มคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา (African Americans) ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยมีลักษณะพิเศษคือโน้ตบลูส์ การลัดจังหวะ จังหวะสวิง การโต้และตอบทางดนตรี และการเล่นสด โดยแจ๊สถือเป็นลักษณะดนตรีคลาสสิกชนิดหนึ่งของสหรัฐอเมริกา

ความหมายของคำว่าแจ๊ส เคยมีผู้พยายามนิยามความหมายไว้หลายแบบ ตามความหมายของคำว่าแจ๊สในในพจนานุกรมไทยวัฒนาพานิช โดย วิทูลย์ สมบูรณ์ หมายถึง ดนตรีเต้นรำเล่นลัดจังหวะ, เล่นดนตรีชนิดนี้, เต้นรำ เข้ากับดนตรีชนิดนี้ สำหรับพจนานุกรมฉบับอ๊อกฟอร์ดให้คำจำกัดความไว้ว่า “เป็นดนตรีที่ถือกำเนิดจากชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันซึ่งมีจังหวะชัดเจนที่เล่นอย่างอิสระโดยการประสานกันขึ้นเองของนักดนตรีในขณะที่กำลังบรรเลง”

ประวัติความเป็นมาของดนตรีแจ๊ส 

ดนตรีแจ๊สกำเนิดขึ้นในเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา ปลายคริสต์ทศวรรษที่ 20 โดยกลุ่มคนดำชาวแอฟริกาที่ถูกจับมาเป็นทาส เดิมเป็นคนกลุ่มที่ชื่นชอบการฟังเพลง รักความครื้นเครงเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้กลุ่มคนผิวดำรวมตัวกันทำกิจกรรมผ่อนคลายในชีวิตประจำวันที่ถูกกดขี่ข่มเหง ช่วยปลดปล่อยอารมณ์ไปตามจังหวะดนตรี เคาะประกบให้มีจังหวะ และใส่คำพูดร้องตามในภายหลัง เมื่อเริ่มร้องเล่นมาอย่างแพร่หลาย จึงกลายเป็นต้นกำเนิดเพลงแจ๊สในที่สุด

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (1920-1930) สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้สถานบันเทิงหลายแห่งถูกสั่งปิด หนึ่งในนั้นมีแถบนิวออร์ลีนส์ นักดนตรีหลายชีวิตทั้งชนผิวขาวและผิวดำเคลื่อนย้ายมาอยู่ในชิคาโก นิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส แต่แหล่งชุกชุมนักดนตรีและครื้นเครงมากที่สุดคือ ชิคาโก จึงทำให้เกิดดนตรีแนวใหม่ขึ้น มีความซับซ้อนกว่าเดิม นำเครื่องดนตรีใหม่ๆ เข้ามาเล่นด้วยเกิดวงดนตรีที่จัดขึ้นในแบบตัวเองที่เรียกว่า “บิ๊กแบนด์” และคำว่า “สวิง” เป็นแนวดนตรีเต้นรำให้ความสนุกสนานบันเทิง

ทศวรรษที่ 1940 นักดนตรีเริ่มเปลี่ยนแนวแจ๊สในรูปแบบใหม่ๆขึ้น ร้องในจังหวะสุ้มเสียง สอดประสานกันที่ต่างจากสวิงเป็นแบบ “บีบ็อพ” “รีบ็อพ” หรือ “บ็อพ” ที่ร้องโน้ต 2 ตัวเร็วๆ

ทศวรรษที่ 1950 เป็นยุคแห่ง “โมดัลแจ๊ส” นักดนตรีโซโล่คอร์ดอย่างอย่างอิสระ ไม่มีข้อจำกัดด้านคอร์ดเพลง จึงเกิดสเกลแปลกใหม่ขึ้น ต่อมาเป็นสาย “ฟรีแจ๊ส” ให้คอร์ดเพลงเป็นอิสระ บางเพลงแทบไม่มีจังหวะทำนอง ไร้ห้องดนตรี แต่เน้นจังหวะตบหรือรักษาความเร็ว เสียงเบสเริ่มเข้ามาใช้บรรเลงมากขึ้น

ทศวรรษที่ 1970 ยุคเพลงร็อกแอนด์โรลเริ่มมีส่วนร่วมต่อวงการเพลง ดนตรีแจ๊สจึงได้แนวดนตรีร็อกมาหลอมรวมเรียกว่า “ฟิวชั่น” ใช้จังหวะและเครื่องดนตรีดั้งเดิมและเครื่องดนตรีไฟฟ้าของเพลงร็อกเข้ามาประกอบกันเป็นวงดนตรีให้ใหญ่ขึ้น รวมถึงเครื่องดนตรีจากต่างชาติเข้ามาผสม

แจ๊สยุคใหม่ เกิดการผสมผสานแนวดนตรีทุกแขนงและแตกย่อยหลายจังหวะเป็นเมโลดี้อิสระมากกว่าเดิม เช่น สมูทป๊อปแจ๊ส ให้จังหวะนุ่มสบายผสานแนวป็อบ เอ็กซิสแจ๊ส พังค์แจ๊ส เกิดวงตรีชื่อดังก้องโลก การจัดคอนเสิร์ตสุดยิ่งใหญ่

ไม่ว่าจะดนตรีประเภทใด ไม่เพียงแต่ให้ความสุขแก่ผู้คนเท่านั้น ดนตรียังเป็นตัวทลายกำแพงการแบ่งแยกทุกชนชั้นบนโลก ให้เข้ามาร่วมกันบรรเลงเสียงและสนุกสนานไปพร้อมกัน ดนตรีจึงมีความสำคัญอย่างมากในสังคม